Monday, May 13, 2013

วิธีการขยายพันธุ์มะปราง



วิธีการขยายพันธุ์มะปราง

            ได้ทำการขยายพันธุ์ 2 วิธี คือ การเสียบยอดและการทาบกิ่ง

การขยายพันธุ์ โดยการเสียบยอด
             การเสียบยอดเป็นวิธีการขยายพันธุ์ มะยงชิด - มะปรางหวานใหญ่ ที่ดีวิธีหนึ่ง ที่จะไม่เกิดการกลายพันธุ์ [Mutation]  ข้อเสีย ก็คือ การเจริญเติบโตในระยะแรกจะช้ามาก ต้องใช้เวลา 2-3 ปีจึงจะโตสูงกว่า 80 ซ.ม. พอที่จะนำไปขายได้ แต่เมื่อนำไปปลูกลงดินแล้ว จะโตเร็วมาก ใช้เวลาเพียง 1 -2 ปี ก็สามารถผลิดอกออกผลได้

การขยายพันธุ์ โดยการทาบกิ่ง
             วิธีนี้เป็นที่นิยมกันมาก มี ข้อดี ดังนี้

            1. สามารถทาบกิ่งได้หลายขนาด หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นกิ่งแขนง กิ่งเล็ก กิ่งใหญ่ กิ่งกระโดง รวมไปถึงกิ่งสาขา (Brance)
            2. ตั้งราคาขายได้หลายราคา จากขนาดเล็กไปหาใหญ่ ตามใจของผู้ซื้อ
            3. ให้ผลผลิต (ออกผล) ได้รวดเร็ว ตามขนาดและความสมบูรณ์ของกิ่ง
            4. สามารถเพิ่มมูลค่า [Added value] ได้ง่ายโดยการเสริมราก
            ข้อเสีย
            1. หากตัดกิ่งทาบที่แผลยังติดไม่สนิท จะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย เมื่อโดนลมพัดแผลจะฉีกทำให้กิ่งตายได้ง่าย
            2. การเลือกต้นตอกับกิ่งพันธุ์ดี ต้องให้ได้ขนาดใกล้เคียงหรือสมดุลกัน บางคนใช้กิ่งตอเล็กมากเกินไปเมื่อเทียบกับกิ่งพันธุ์ดีที่ใหญ่มาก เมื่อนำไปปลูกกิ่งตออาจหักได้ง่าย เพราะรับน้ำหนักต้นใหญ่ไม่ไหว อาจจะตายได้ง่าย หรือไม่ตายก็โตช้า
    3. กิ่งพันธุ์ดีมีสภาพไม่เหมาะสม เช่น กิ่งเป็นโรค กิ่งแคระแกร็น กิ่งแก่เกินไป เมื่อนำไปปลูก การพัฒนาลำต้นจะไม่ดี อาจตายง่ายหรือโตช้า
    4. บางคนดึงต้นตอออกจากถุงเพาะชำ ตัดรากแก้วทิ้ง อัดขุยมะพร้าว แล้วนำไปทาบ เมื่อนำไปปลูก ต้นจะเจริญเติบโตช้า หรืออาจตายได้ง่าย


 นวัตกรรม[Innovation] การทาบกิ่งมะปราง

จากการพัฒนา (Development) มะปราง ทำให้ได้ นวัตกรรมการทาบกิ่งโดยใช้กรรมวิธี ดังต่อไปนี้
1.   เลือกต้นตอ ที่สมบูรณ์และกิ่งพันธุ์ดี ให้มีขนาดและอายุ ไล่เลี่ยกัน
2.   กำหนดตำแหน่งของกิ่งพันธุ์ดีที่จะทาบให้ห่างจากจุดที่จะควั่นประมาณ 1 คืบ
3.   ยกต้นตอที่เตรียมไว้ขึ้นทาบ ก้นถุงจะอยู่ใกล้เคียงกับจุด ที่จะควั่นและตัด
4.   มัดถุงของต้นตอกับกิ่งพันธุ์ดีให้แน่น โยงเชือกปอกับโครงสร้างที่แข็งแรง
5.   หลังทาบประมาณ 7 วันหากฝนไม่ตก ให้รดน้ำจนตุ้มของต้นตอเปียกโชก
6.   หลังทาบประมาณ 75-90 วันให้ควั่นกิ่งพันธุ์ดี ตรงจุดที่ได้กำหนดไว้แล้ว
7.  หลังควั่นประมาน 10-30 วันให้ทยอยตัดกิ่งพันธุ์ดี ลำดับตามขนาดของกิ่ง
8.   กรีดตรงรอยตัด 2-3 ทาง ยาวประมาณ 1 นิ้ว แช่ในน้ำยาเร่งราก [Plant Stimulant] ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที จึงนำไปเพาะชำ
9.   นำไปลงถุงหรือกระถาง กระทุ้งดินให้แน่น ส่งเข้าเรือนเพาะชำ
 
จากกรรมวิธี  9 ข้อข้างต้น กิ่งพันธุ์ที่ถูกเพาะชำจะมี 2 ขา คือจากต้นตอและก้านของกิ่งประธาน หรือกิ่งพันธุ์ดี ที่เราตัดให้ยาวประมาณ 1 คืบ กิ่งนี้จะช่วยยึดลำต้นและเมื่อรากฝอยงอกออกมา รากจะช่วยตรึงลำต้นให้แข็งแรงและช่วยหาอาหาร ทำให้ก้านของกิ่งประธานเติบโต ควบคู่ไปกับกิ่งตอ ทำให้ได้กิ่งพันธุ์ดีมี 2 ขารากที่แข็งแรงและสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง วิธีนี้ ตั้งชื่อเรียกขานว่า การทาบกิ่งแบบ 1ตอ  2ขาราก (ดูในภาพ)
หากต้องการเสริมตอเข้าไปอีก 1 ต้นก็ทำได้ตามข้อ 3 โดยให้ตอใหม่และแผลอยู่ตรงกันข้ามกับตอแรก เรียกขานการทาบกิ่งวิธีนี้ว่าแบบ 2ตอ 3ขาราก (ดูในภาพ) ขอแนะนำว่า วิธีนี้เป็นการเสริมราก ที่ประหยัดแต่มีประสิทธิผลสูงที่สุด [Optimization]
หากต้องการเสริมเพิ่มเป็นแบบ 3ตอ 4ขาราก หรือเท่าไหร่ก็ย่อมสามารถทำได้ แต่อาจต้องเปลี่ยนตำแหน่งของจุดทาบไปตามความเหมาะสม

การจำแนกและคัดเลือกสายพันธุ์มะปราง



การจำแนกและคัดเลือกสายพันธุ์

     เมื่อรวบรวมต้นแม่พันธุ์ดีได้ประมาณ 56 สายพันธุ์มาปลูกรวมกัน เมื่อเริ่มออกผล ทางศูนย์ฯ ก็เริ่มทำการคัดเลือก โดยยึดคุณสมบัติตามหลักวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นหลักคือ คุณสมบัติทางกายภาพ [ Physical Property ] คุณสมบัติทางเคมี [ Chemical Property ] และคุณสมบัติทางชีววิทยา [ Biological Property ]

       ทางด้านกายภาพ ทางศูนย์ฯ พิจารณาตามคุณสมบัติดังต่อไปนี้

     1. ผล ต้องมีขนาดใหญ่ที่สุด วัดโดยการชั่งน้ำหนัก [ Weighting ]

     2. รูปพรรณสัณฐาน [ Shape and Appearance ] ที่ยอมรับได้คือ ทรงกลม ทรงรูปไข่ ทรงหัวเรียวก้นใหญ่ (คล้ายมะดัน) ทรงหัวเรียวก้นงอน ส่วนพันธุ์ที่มีรูปทรงหัวโตก้นเรียวแหลมนั้น ทางศูนย์ฯ ไม่นำเสนอ เพราะรูปร่างไม่สวยงาม

     3. ขนาดของเมล็ดต้องไม่ใหญ่ หรือที่เรียกกันว่าเมล็ดลีบ แต่ต้องติดตามผลอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี

     4. เปลือกของผลต้องหนาไม่เปราะบางและสีของผิวต้องสดใสไม่เหลืองซีด

     5. เนื้อแน่น ไม่เละ เก็บไว้ได้นาน

     6. เป็นพันธุ์เบา คือออกลูก ติดผลง่าย ให้ผลต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี

       ทางด้านเคมี พิจารณาจากรสชาติ

     1. ถ้าเป็นมะยงชิด ต้องมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ถ้าเปรี้ยวมากเรียกว่า มะยงห่าง ถ้าเปรี้ยวอย่างเดียวไม่มีรสหวานเลย เรียกว่า กาวาง

     2. ถ้าเป็นมะปรางหวานพันธุ์ดี จะต้องมีความหวานมาก หรือ หวานฉ่ำ เมื่อรับประทานแล้วไม่รู้สึกคันหรือระคายคอเหมือนมะปรางพื้นบ้าน

     3. ความหวานของทั้งมะยงชิดและมะปรางหวานใหญ่ พันธุ์ดี ไม่ควรต่ำกว่า 17๐ BRIX ( อยู่ที่สายพันธุ์และการดูแลรักษา )

       ทางศูนย์ฯ ได้คัดเลือกมะยงชิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คือ "พันธุ์เพชรกลางดง , ทูลเกล้า และบางขุนนนท์"

       ส่วนมะปรางหวานใหญ่นั้น ทางศูนย์ฯ สามารถคัดเลือกพันธุ์ที่มีคุณสมบัติดีเด่นครบถ้วนไว้ได้ 6 สายพันธุ์ คือ

     1. พันธุ์เพชรคลองลาน (มะปรางหวานไข่ห่าน)

     2. พันธุ์เพชรหวานกลม

     3. พันธุ์เพชรหวานยาว

     4. พันธุ์เพชรนพเก้า

     5. พันธุ์เพชรเหรียญทอง-1

     6. พันธุ์เพชรเหรียญทอง-2

(ทั้ง 6 สายพันธุ์ ลูกจะโตเท่ามะยงชิด และโตกว่าไข่เป็ด)

       การจำแนกสายพันธุ์ โดยอาศัยคุณสมบัติทางกายภาพ และทางเคมี ที่กล่าวไว้ข้างต้นไม่สามารถแยกแยะรูปแบบทางพันธุกรรมที่จำเพาะ สำหรับจำแนกเอกลักษณ์พันธุ์ของแต่ละพันธุ์ได้

       ดังนั้นทางศูนย์ฯ จึงได้คัดเลือกมะยงชิดพันธุ์ดี 3 สายพันธุ์ และมะปรางหวานใหญ่ พันธุ์ดี 6 สายพันธุ์ รวม 9 สายพันธุ์ ที่ได้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติทางกายภาพ และเคมีมาแล้วส่งเข้าวิเคราะห์ ดี เอ็น เอ เพื่อหาความเด่นชัดทางด้านพันธุกรรม ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 เสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550  รวมเวลาวิเคราะห์รวบรวมเอกสาร ปรับปรุงแก้ไข ประมาณ 8 เดือนเต็ม

       ผลการตรวจ ดี เอ็น เอ ได้ผลสรุปชัดเจนว่า แต่ละสายพันธุ์มีความแตกต่างทางด้านพันธุกรรมอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะมะยงชิด พันธุ์เพชรกลางดง แตกต่างจาก พันธุ์ทูลเกล้า และพันธุ์บางขุนนนท์ อย่างชัดเจน ส่วนมะปรางหวานใหญ่พันธุ์ดี 6 สายพันธุ์ ก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนเช่นกัน จะมีความใกล้ชิดกันบ้างก็คือ พันธุ์เพชรเหรียญทอง-1 กับพันธุ์เพชรนพเก้า แต่ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน

       สรุปผลการหา ดี เอ็น เอ เพื่อหาความแตกต่างทางด้านพันธุกรรม เมื่อเปรียบเทียบกับการวินิจฉัยโดยอาศัยคุณสมบัติทางกายภาพและเคมี ซึ่งทางศูนย์ฯ ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานนั้น มีผลสอดคล้องกัน นั่นคือ มะยงชิด-มะปรางหวานใหญ่พันธุ์ดี ที่ศูนย์ฯ ได้นำออกเผยแพร่แก่สาธารณชน ทั้ง 9 สายพันธุ์ มีความโดดเด่นทางด้านพันธุกรรมไม่ซ้ำกัน จึงเป็นโอกาสทองของผู้ที่สนใจจะปลูกในเชิงการค้าสามารถระบุและเลือกสายพันธุ์ที่ดีเด่น ชัดเจนได้จากศูนย์ โดยไม่มีความเสี่ยงใดๆทั้งสิ้น

กลุ่มยาแก้ไข้ ลดความร้อน มะปราง

กลุ่มยาแก้ไข้ ลดความร้อน

มะปราง

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Bouea macrophylla  Griffith

ชื่อสามัญ :   Marian Plum , Plum Mango

วงศ์ :   Anacardiaceae

ชื่ออื่น :  ปราง (ภาคใต้)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น มีทรงต้นค่อนข้างแหลม มีกิ่งก้านสาขาค่อนข้างทึบต้นโต มีขนาดสูง 15-30 เซนติเมตร มีรากแก้วแข็งแรง ใบ มะปรางเป็นไม้ผลที่มีใบมาก ใบเรียว ขนาดใบโดยเฉลี่ยกว้าง 3.5 เซนติเมตร ยาว 14 เซนติเมตร ปีหนึ่งมะปรางจะแตกใบอ่อน 1-3 ครั้ง ดอก มะปรางจะมีดอกเป็นช่อ เกิดบริเวณปลายกิ่งแขนง ช่อดอกยาว 8-15 เซนติเมตร เป็นดอกสมบูรณ์เพศ (เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน) ดอกบานจะมีสีเหลือง ในไทยออกดอกช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ผล มีลักษณะทรงกลมรูปไข่และกลม ปลายเรียวแหลม มะปรางช่อหนึ่งมีผล 1-15 ผล ผลดิบมีสีเขียวอ่อน-เขียวเข้มตามอายุของผล ผลสุกมีสีเหลืองหรือเหลืองอมส้ม เปลือกผลนิ่ม เนื้อสีเหลืองแดงส้มออกแดงแล้วแต่ชนิดพันธุ์ รสชาติหวาน-อมหวานอมเปรี้ยว หรือเปรี้ยว-เปรี้ยวจัด เมล็ด มะปรางผลหนึ่งจะมี 1 เมล็ด ส่วนผิวของกะลาเมล็ดมีลักษณะเป็นเส้นใย เนื้อของเมล็ดทั้งสีขาวและสีชมพูอมม่วง รสขมฝาดและขม ลักษณะเมล็ดคล้ายเมล็ดมะม่วง หนึ่งเมล็ดเพาะกล้าได้ 1 ต้น
ส่วนที่ใช้ : ราก ใบ น้ำจากต้น

สรรพคุณ :

    ราก -  แก้ไข้กลับ  ถอนพิษสำแดง

    ใบ - ยาพอกแก้ปวดศีรษะ

    น้ำจากต้น - ยาอมกลั้วคอ

Tuesday, April 16, 2013

มะปรางผลไม้ไทย...มีมาตั้งแต่สมัยไหนใครรู้บ้าง ?



มะปราง ผลไม้คู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย มีมาแต่โบราณกาล ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ฉะนั้นมะปรางพันธุ์ดี จึงปรากฏให้เห็นอยู่ย่านเมืองเก่า ที่รายล้อมกรุงสุโขทัย เช่น กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ พิจิตร พิษณุโลกเป็นต้น
 โดยเฉพาะ กำแพงเพชรเมืองหน้าด่าน สมัยโบราณมีชื่อเรียกว่าเมือง ชากังราว เป็นภาษามอญแปลว่า “ชุมทาง” จึง ปรากฏว่ามีต้นมะปรางอยู่ในตัวเมืองมากมาย เป็นที่น่าเสียดาย ที่ถูกตัดทิ้ง เพื่อก่อสร้างอาคารคอนกรีตเกือบหมด แต่ก็พอหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้างในปัจจุบัน
        
ต่อ มามีการย้ายราชธานี ลงไปทางใต้ โดยเฉพาะสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี สันนิษฐานว่าน่าจะมีการนำเอามะปรางจากทางเหนือ ลงไปปลูกและขยายไปในเขตปริมณฑล จะเห็นว่าที่จังหวัดอ่างทองมีมะปรางพันธุ์ดีปรากฏอยู่จนทุกวันนี้
            
เมื่อถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พอจะมีหลักฐานปรากฏว่าได้มี มะยงชิด พันธุ์ดีหรือที่หลายคนในสมัยรัชกาลที่ 5 เรียกว่า มะปรางเสวย มีแหล่งปลูก อยู่แถว ต. ท่าอิฐ อ.เมือง จ.นนทบุรี จัดว่าเป็น
มะปราง ที่มีขนาดผลใหญ่ ใกล้เคียงกับไข่ไก่หรือไข่เป็ด บางพันธุ์มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว น่าจะเป็นต้นกำเนิดของ มะยงชิด ซึ่งต่อมาได้มีการขยายไปปลูกแถวบางขุนนนท์  จึงมีการตั้งชื่อเรียกขานกันว่า มะยงชิดบางขุนนนท์
            
เมื่อมะปรางได้ถูกเผยแพร่กระจายออกไป จึงมีการกลายพันธุ์ ส่วนหนึ่งกลายเป็นมะยง อันประกอบไปด้วย มะยงชิด มะยงห่าง กาวาง
           
ส่วนอีกสายพันธุ์หนึ่ง กลายพันธุ์เป็น มะปรางหวาน ลูกใหญ่ๆรสชาติหวานสนิทไม่มีรสเปรี้ยวปนและเมื่อรับประทานจะไม่มีการระคายคอเหมือนมะปรางโบราณที่ยังไม่มีการวิวัฒนาการ ขนาดของผลใกล้เคียงกับ มะยงชิด บางพันธุ์ผลใหญ่กว่า มะยงชิด  มะปราง หวานใหญ่ ที่กลายพันธุ์มานี้ ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักเหมือน มะยงชิด เมื่อวางขายในท้องตลาดจึงมีราคาแพงกว่า มะยงชิด เพราะยังหายากอยู่

ใคร ที่ชอบกินมะปรางช่วงนี้มีให้กินเยอะอยู่ ต้องรีบไปหามากินกันนะครับเพราะออกแค่ปีละครั้ง เดี๋ยวไม่ทันลิ้มรสความอร่อยที่คุณโปรดปราน

Tuesday, November 20, 2012

เทคนิคการปลูกและการผลิตมะยงชิดคุณภาพดีสวนสมหมาย จ.พิจิตร

เทคนิคการปลูกและการผลิตมะยงชิดคุณภาพดีสวนสมหมาย จ.พิจิตร

หลาย คนคงไม่ทราบว่า จ.พิจิตรเป็นแหล่งผลิตมะยงชิดพันธุ์ดีที่ใหญ่ที่สุดของ ประเทศ เฉพาะเขตพื้นที่ ต.วังทับไทร อ.สากเหล็ก มีพื้นที่ปลูกมะยงชิดพันธุ์ ดีประมาณ 2,000 ไร่ ผลผลิตมะยงชิดของจังหวัดพิจิตร เป็นที่ต้องการของ ตลาด เพราะผลใหญ่ เนื้อแข็ง และมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อยผลผลิตส่วน ใหญ่จะมีพ่อค้าเป็นจำนวนมากมารับซื้อเพื่อขายตลาดในประเทศและมีบางส่วนส่งไป ขายยังต่างประเทศ



สวน สมหมาย นับเป็นมะยงชิดรายใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด มีพื้นที่ปลูกมะยงชิดพันธุ์ดีที่ให้ผลผลิตเต็มที่ประมาณ 200 ไร่ อายุต้นตั้งแต่12-20ปี ปละที่ยังไม่ให้ผลผลิตเต็มที่ประมาณ 200 ไร่ อายุต้นตั้งแต่ 12-20 ปี และที่ยังไม่ให้ผลผลิตเต็มที่อีกจำนวนหนึ่ง ปัจจุบัน คุณนคร บัวผัน บ้านเลขที่ 56/1 ม.1 ต.วังทับไทร อ.สากเหล็ก จ.พิจิตร 66160 โทร. 086-2067205 เป็นผู้จัดการสวน

สวนสมหมาย เกิดขึ้นเพราะความพยายามของคุณพ่อสมหมาย บัวผัน (เสียชีวิตแล้ว) ตั้งแต่ปี พ.ศ.2523 โดยเริ่มจากการนำมะม่วงพันธุ์เพชรบ้านลาดมาปลูก จนประสบความสำเร็จ เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ต่อมาในปี พ.ศ.2527 ได้ไปซื้อพันธุ์มะยงชิด หลากหลายสายพันธุ์ มาทดลองปลูก โดยคิดว่าต่อไปเมื่อมีคนปลูกมะม่วงเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้ราคาผลผลิตตกต่ำลง จึงได้เริ่มศึกษาพันธุ์มะยงชิดจากที่ต่างๆ พบว่ามะยงชิดพันธุ์ไข่ไก่ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีกว่า มะยงชิดพันธุ์อื่นๆ จึงได้ตัดสินใจขยายพันธุ์มะยงชิดพันธุ์ไข่ไก่ไปปลูกแซมในสวนมะม่วง

เหตุผลที่เลือกปลูกมะยงชิดพันธุ์ไข่ไก่ :

คุณนคร แนะนำว่าการปลุกมะยงชิดและการเลือกสายพันธุ์ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่นั้นมี ความสำคัญมาก สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อนตัดสินใจเลือกพันธ์ปลูกก็คือ จะต้องเป็นพันธุ์ที่ติดผลง่าย ผลมีขนาดใหญ่ เมล็ดเล็ก เนื้อแน่น รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่อง เนื้อนแนจะได้เปรียบมะยงชิดจากแหล่งอื่น
**เพราะถ้าเนื้อแน่นจะสามารถวางขายผลผลิตในตลาดได้ยาวนานกว่าพันธุ์ที่มีเนื้อนิ่ม พ่อค้า แม่ค้าจะชอบมาก ผู้บริโภคติดใจ



เทคนิคการปลูกและการดูแลรักษามะยงชิดสวนสมหมาย จ.พิจิตร :

เทคนิคการปลูกและการดูแลรักษามะยงชิดสวนสมหมาย จ.พิจิตร :

การปลูกมะยงชิด พื้นที่ปลูกนับเป็นปัจจัยหลักที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นตัวกำหนดคุณภาพของผลผลิต ให้ออกมาต่างกัน เช่น มะยงชิดที่ปลูกในพื้นที่ดินนาหรือพื้นที่ลุ่มน้ำผลจะใหญ่ผิวมีสีเหลือง แต่เนื้อจะนิ่มออกเละ รสชาติไม่เข้มข้นเพราะดินนาเป็นดินเหนียว เป็นดินที่เก็บความชื้นไว้นาน จึงทำให้ผลผลิตที่ได้มีรสชาติไม่เข้มข้น ส่วนดินลูกรังนั้นจะได้เปรียบเรื่องรสชาติ รสชาติจะเข้มข้นและผิวผลออกสีเหลืองส้มเข้มกว่า

การปลูกและการดูแลรักษามะยงชิดสวนสมหมาย :

การปลูกจะต้องเริ่มต้นจากการกำหนดระยะปลูกให้เหมาะสม ที่แนะนำคือ 8*8 เมตร โดยในช่วงแรกอาจปลูกแซมพืชอื่นไปก่อน กว่าต้นมะยงชิดจะให้ผลผลิตเต็มที่ก็เมื่อมีอายุประมาณ 7-8 ปี และผลผลิตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามอายุของต้น ซึ่งโดยปกติแล้วชาวสวนจะมีเคล็ดลับและวิธีการดูแลต้นมะยงชิดให้ออกดอกติดผล ต่างกันไป แต่ที่สวนสมหมายจะมีการแต่งกิ่งในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน ตัดแต่งกิ่งที่แห้งตาย กิ่งที่เบียดชิดกันและกิ่งที่อยู่ในร่มเงา ตัดแต่งเสร็จใส่ขี้วัวเก่าต้นละ 2-3 กระสอบปุ๋ย ส่วนปุ๋ยเคมีจะใช้สูตร 8-24-24 อัตราต้นละ 1-2 กิโลกรัม โดยใส่ในช่วงเดือนกรกรกฎาคม – เดือนกันยายน เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับต้นก่อนการออกดอก
** เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคมและมีอากาศหนาวเย็นติดต่อกัน 7-10 วัน ยอดของมะยงชิดจะพัฒนาเป็นตาดอกและจากระยะดอกจนถึงเก็บผลผลิตจะใช้ระยะเวลา เพียง 85-90 วัน ในแต่ละปีมะยงชิดจะออกดอก 2- 3 รุ่น รุ่นแรก จะออกดอกเดือนพฤศจิกายน เละไปเก็บผลผลิตประมาณปลายเดือนมกราคม รุ่นที่ 2 จะออกดอกช่วงเดือนธันวาคม ไปเก็บผลผลิตเอาช่วงปลายเดือนกุมภาพันธุ์ แต้ถ้าปีไหนอากาศเย็นนานจะมีรุ่นที่สามคือดอกจะออกต้นเดือนมกราคม และไปเก็บผลผลิตเดือนมีนาคม



หลังจากเริ่มแทงช่อดอกจะต้องดูแลเป็นพิเศษ ทางดินควรมีการให้น้ำทุก 5- 7 วัน (ขึ้นอยู่กับความชื้นในสวน การให้น้ำมากไปจะทำให้เนื้อผลมะยงชิดเละ) จนกว่าผลอ่อนจะมีขนาดเท่ากับหัวแม่มือ จึงเริ่มงดการให้น้ำ ใน เรื่องของสารเคมีที่จำเป็นต้องใช้ ในช่วงที่กำลังแทงช่อดอกหรือแตกใบอ่อน เนื่องจากในระยะดังกล่าวจะพบว่ามีศัตรูที่สำคัญคือเพลี้ยไฟและโรคที่สำคัญ คือโรคแอนแทรคโนส ซึ่งที่สวนจะใช้สารเคมีในช่วงนี้มาก เพราะต้องการ ควบคุมคุณภาพของผลผลิตให้ได้และต้องเลือกใช้สารเคมีที่ปลอดภัยตา,มาตรฐาน GAP สารเคมีที่แนะนำให้ฉีดพ่นป้องกันเพลี้ยไฟคือ สารอะบาเม็กติน เช่น แจคเก็ต โดยฉีดพ่น 2 ครั้ง คือ ระยะก่อนดอกยานและระยะหลังดอกโรยในช่วงที่ดอกบาน จะไม่มีการฉีดพ่นสารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนโรคแอนแทรคโนส จะใช้สารเคมีกลุ่มโปรคลอราช ฉีดพ่นในช่วงก่อนดอกบาน ส่วนหลังจากดอกโรยจะใช้สารแมนโคเซป เช่น เพนโคเซป และ โปรคลอราชสลับกัน โยจะฉีดพ่นจนกว่าผลจะมีขนาดเท่าหัวแม่มือหรือยู่ในระยะสลัดผลจึงหยุดฉีด ***เป็น ที่น่าสังเกตว่า คุณนคร บัวผัน จะไม่นิยมใช้ปุ๋ยหรือฮอร์โมนเร่งขนาดผลเลย เพราะการใช้ปุ๋ยมากๆ อาจทำให้เนื้อของมะยงชิดดเละและไม่แน่น

การเก็บเกี่ยวผลผลิตมะยงชิดพันธุ์ดี : จะ ต่างกันไปแล้วแต่ความต้องการของตลาดถ้าเป็นตลาดในประเทศจะเก็บที่ความแก่ เกือบ 100% คือ เก็บไปแล้วรับประทานได้เลย โดยสังเกตจากผิวเปลือก จะต้องออกเหลืองส้มเกือบทั้งผล รสชาติจะหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย แต่ถ้าเก็บส่งตลาดต่างประเทศจะต้องเก็บเกี่ยวที่ความแก่ประมาณ 90% คือ ผิวจะออกสีจำปา แต่ยังไม่ทันแดง เพราะการส่งตลาดต่างประเทศใช้ระยะเวลานานต้องผ่านหลายขั้นตอน ตัวอย่างของประเทศในเขตยุโรป ต้องใช้ระยะเวลาในการผ่านกระบวนการต่างๆ ประมาณ 7 วัน ถ้าเก็บที่ความแก่เต็มที่ เมื่อถึงปลายทางเนื้อจะเละวางขายได้ไม่นาน

คุณภาพของผลผลิต คือ หัวใจในการผลิตมะยงชิดพันธุ์ดี : ที่สวนสมหมายจะเน้นทุกขั้นตอนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องการเก็บผลผลิต จะใช้กรรไกรตัดผลหรือใช้มือเก็บเท่านั้น ผู้ที่เก็บจะต้องมีความชำนาญและประณีต ต้องดูลักษณะผลว่าเป็นผลแก่หรือผลอ่อน ต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง เพราะถ้าเก็บแรงผลจะช้ำก่อนถึงมือผู้บริโภคผลจะเละ เรื่องการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่หลายสวยใช้ตะกร้อสำหรับสอยมะม่วงมาเก็บผล มะยงชิด จะทำให้ได้ผลที่ช้ำสีผิวไม่สวย เวลาขายจะขายไม่ได้ราคา เพราะผลมีตำหนิ
อนาคตการตลาด เมื่อสอบถามถึงเรื่องการ ตลาดในอนาคตคุณนคร ตอบด้วยความมั่นใจว่า แม้จะมีผู้ขยายพื้นที่ปลูกมากขึ้นแต่ตลาดก็ยังดี เพราะมะยงชิด เป็นไม้ผลที่บังคับให้ออกดอกนอกฤดูไม่ได้ต้องอาศัยธรรมชาติเท่านั้น ซึ่งโดยปกติแล้วมะยงชิดจะเริ่มออกสู่ตลาดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พอหมดก็จะเลื่อนมาที่ปราจีนบุรี นครนายก เข้าสู่ เขตภาคกลาง ต่อจากภาคเหนือตอนล่าง คือ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย กำแพงเพชร และ สุดท้ายที่เชียงใหม่ ผลผลิตจะถูกควบคุมโดยธรรมชาติผลผลิตจะออกไม่พร้อมกัน
ราคามะยงชิดพันธุ์ดีที่สวนสมหมายจะตั้งราคาไว้มาตรฐานเหมือนกันทุกปี จะไม่ต่างกันมากนักโดยคัดเป็นเบอร์ดังนี้
- เบอร์ 1 ขนาดผล 13 -15 ผล ต่อ กิโลกรัม ขายส่งเฉลี่ยกิโลกรัมละ 80 – 100 บาท
- เบอร์ 2 ขนาดผล 16- 17 ผล ต่อกิโลกรัม ขายส่งเฉลี่ยกิโลกรัมละ 60 – 70 บาท
- เบอร์ 3 ขนาดผล 18 ผล ต่อ กิโลกรัม ขายส่งกิโลกรัมละ 30 -40 บาท
- ผลเล็กหรือตกเกรด ขายรวมกิโลกรัมละ 20 บาท

ด้านตลาดต่างประเทศจะใช้มะยงชิดเกรด1 แต่จะต้องคัดผลที่ผิวสวยจริงๆ ขายได้กิโลกรัมละ 150 บาท แต่การเก็บส่งออกต้องมีความประณีตมาก นอกจากนั้นยังมีตลาดบน คือ ส่งขายตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น TOPs Supermaket จะบรรจุกล่องจากสวนส่งขายในลักษณะสั่งซื้อพิเศษ ซึ่งสวนสมหมายจะคัดผลบรรจุกล่องสวยงามขายเป็นของฝากให้ผู้สนใจในราคากล่องละ 150 บาท (น้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม) ผู้ใดสนใจติดต่อโดยตรงที่เบอร์ คุณนคร บัวผัน โทร.086-2067205
คุณนครยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า “ผมว่ามะยงชิดไข่ไก่เป็นไม้ผลที่มีอนาคต เพราะใช้ทุนในการผลิตต่ำที่สำคัญผมคิดตามแนวทางของพ่อสมหมายที่สอนไว้ว่าถ้า เราขายมะยงชิดไข่ไก่ได้แค่กิโลกรัมละ 10-15 บาท ก็พอใจแล้วไม่ต้องคิดว่าจะบายได้กิโลกรัมละ 80 บาท หรือ 100 บาท เพราะถ้าพึงวันที่ราคามะยงชิดไข่ไก่ตกลงมาเหลือ 10 หรือ 15 บาท เราก็ยังขายผลผลิตได้ง่ายกว่ามะยงชิดพื้นบ้านที่มีผลขนาดเล็กกว่า

การปลูกมะยงชิดพันธุ์ตาพ้อม(พันธุ์ทูลถวาย)มะยงชิดลูกใหญ่สุโขทัย

การปลูกมะยงชิดพันธุ์ตาพ้อม(พันธุ์ทูลถวาย)มะยงชิดลูกใหญ่สุโขทัย

มะยงชิด จัดว่าเป็นผลไม้ที่นิยมปลูกกันมากในปัจจุบัน เพราตลาดมีความต้องการสูง ผล ผลิตมีราคาแพง เฉลี่ยแล้ว 100-300บาทต่อกิโลกรัม นอกจากตลาดภายในประเทศ แล้ว โอกาสการทำตลาดต่างประเทศก็ยังมีอนาคตที่สดใส หากเกษตรกรท่านใดมีความ สนใจจะปลูกมะยงชิด เพื่อการค้าหรือปลูกไว้รับประทานผลหรือเป็นของฝาก ทดลอง ปลูกมะยงชิดพันธุ์ตาพ้อมท่านจะไม่ผิดหวัง



สวนตาพ้อมเป็นสวนเกษตรผสมผสานที่มีการพัฒนาให้ทัน ยุคสมัย ตั้งอยู่ในส่วนของภาคเหนือตอนล่าง ของ จ.สุโขทัยและเป็นสวนที่มีชื่อเสียงเป็นลำดับต้นๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของคนทั่วไป สวนแห่งนี้มีเนื้อที่ 13 ไร่ ติดแม่น้ำยมฝั่งตะวันตก ขึ้นไปทางทิศเหนือจากอำเภอสวรรคโลก 3 กิโลเมตร เรียกว่าบ้านป่ามะม่วง หมู่ 3 ตำบลวังพิณพาทย์ อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย อดีตผู้เป็นเจ้าของเคยทำงานสำนักข่าวสารอเมริกัน ถ.สาธรใต้ และเคยรับราชการในหน่วยงานการประปาส่วนภูมิภาค กรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทย แต่ด้วยความเป็นผู้รักธรรมชาติเป็นทุนเดิม และรักงานอิสระมากกว่า จึงลาออกมาประกอบอาชีพทำสวน ด้วยการเริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ.2530 จากการปลูกไม้ผลผสมผสาน นานาชนิด และ ปลูกมะยงชิดเป็นไม้ประธานอย่างเช่น ส้มโอ สะเดานอกฤดู และ กระท้อนกำมะหยี่ ซึ่งทำชื่อเสียงให้เจ้าของสวนได้เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป

ปัจจุบันไม้ผลรองประธานได้ถูกโค่นและนำออก จนเกือบเหลือแต่มะปราง มะยงชิดเท่านั้น ในเนื้อที่ 13 ไร่ จะมีมะปราง มะยงชิด อายุ 20 ปี 15 ปี และ 10 ปี ตามลำดับต่อการปลูกก่อนหลัง เกือยทั้งหมด ตาพ้อม จะเน้นปลูกมะยงชิด โดยเหตุผล คือ มะยงชิดมีแน้วโน้มที่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความต้องการมากกว่า
จะทำอะไรเดี๋ยวนี้ต้องมืออาชีพ หมดยุคอาจารย์กู้แล้วครับ การทำสวนไม้ผล ต้องเลือกปลูกไม้ผลที่ให้ค่าตอบแทนสูงและมีตลาดรองรับ มีอายุยืนยาวนาน แมลงศัตรูพืชรบกวนน้อย



ถ้า พูดถึงมะปราง-มะยงชิด ผลใหญ่ ในขณะนี้ถือได้ว่า เป็นผลไม้ทองคำ ก็ว่าได้ ทั้งราคาผลผลิต และราคาต้นพันธุ์ที่ดี อีกทั้งยังเป็นผลไม้ที่คนซื้อไม่ได้กิน คนกินไม้ได้ซื้อ ถือ เป็นของฝากเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นราคาจึงเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกมะปราง-มะยงชิดกันมากขึ้นใน ปัจจุบัน
สวนตาพ้อมผู้พัฒนามะยงชิด สู่ไม้ผลมีระดับ เกือบ 20 ปีที่ตาพ้อมได้คลุกคลีและบุกเบิก ปลูกมะยงชิด ผลใหญ่พันธุ์ดี ครั้งรำ พ.ศ.2530 ได้นำกิ่งทาบพันธุ์ดีจากบางขุนนนท์ กรุงเทพมหานคร จากคำบอกเล่าของอาจารย์สุทิน มาศทอง เจ้าของต้นและกิ่งพันธุ์เดิมที่ที่สวนบางขุนนนท์ ตาพ้อมได้นำมาปลูกที่ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย และได้ขยายพันธุ์ปลูกเป็นลำดับ จนประสบความสำเร็จอีกครั้งในเรื่องของการปลูกมะยงชิดจนมีชื่อเสียงและเป็น ที่รู้จักของคนทั่วไป จนได้รับการคัดเลือกให้เป็นเกษตรกรดีเด่น จ.สุโขทัย และได้รับโล่สิงห์ทอง ผู้นำอาชีพก้าวหน้าระดับจังหวัดสุโขทัย ของกรมพัฒนาชุมชนกระทรวงมหาดไทย อีกทั้งโทรทัศน์ทุกช่องของเมืองไทย ได้มาสัมภาษณ์ถ่ายทำเป็นสารคดี เพื่อเผยแพร่ภาพเป็นวิทยาทานแก่เกษตรกรทั่วไป ตลอดจนหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ เดลินิวส์ นิตยสารต่างๆ ได้นำภาพและบทสัมภาษณ์ไปตีพิมพ์ เพื่อเผยแพร่เป็นวิทยาทานอีกทางหนึ่งด้วย
หากพูดถึงผลไม้ทองคำ คือ มะยงชิด ที่ขึ้นชื่อในภาคเหนือ เห็นจะเห็นสวรตาพ้อม ที่อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ที่เลื่องชื่อในเรื่องของรสชาติ และ คุณภาพจนได้รับรางวัลการันตีมากมาย เช่น ได้รับรางวังชนะเลิศอันดับ 1 ในงานประกวดมะปราง-มะยงชิด ภาคเหนือตอนล่าง ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก ประจำปี 2550 และอีกหลายรางวัลจากการประกวดมะปราง – มะยงชิด ในระดับจังหวัดสุโขทัย
การปลูกมะยงชิดพันธุ์สวนตาพ้อม

การปลูก

- คัดเลือกกิ่งพันธุ์ที่สมบูรณ์ แข็งแรง ไม่เป็นโรคและไม่มีแมลงรบกวน
- เตรียมดินปลูกโดยขุดหลุมปลุกให้มีความกว้าง 50 ซม. ยาว 50 ซม. ลึก 50 ซม.
แล้วผสมดินแกลบดำกับปุ๋ยรองก้นหลุม ให้เข้ากัน นำกิ่งพันธุ์ลงปลูก ด้วยความระมัดระวัง อย่าให้ดินในถุงชำหรือตุ้มดินแตก โดยให้มีลักษณะการปลูกแบบกระทะคว่ำ
- ระยะห่างระกว่างแถวและระหว่างต้นที่เหมาะสมสำหรับการปลูกมะยงชิด คือ 7 * 7 เมตร ระยะปลูกดังกล่าวจะทำให้ทรงพุ่มใหญ่เต็มที่ ซึ่งจะส่งผลต่อการให้ผลผลิตของมะยงชิดอีกด้วย

เทคนิคการปลูกมะยงชิดสวนตาพ้อม :

จากประสบการณ์การทำสวนไม้ผลมากว่า 20 ปี และ รางวัลการันตีอีกมากมาย ทำให้ตาพ้อมมีเทคนิคในการทำสวนไม้ผลมากมาย โดยเฉพาะมะยงชิด ตาพ้อมจะมีวิธีการปลูก คือ ปลูกเป็นแถวนระหว่างต้น 7*7เมตร บางแปลงก็ปลูกแบบสลับฟันปลา โดยระยะแรกที่ลงปลูกจะปลูกกล้วยแซมด้วย เพื่อให้กล้วยเติบโตให้ร่มเงาแก่มะยงชิด มะยงชิดจะอาศัยร่มเงากล้วยอยู่ 3 ปี จึงค่อยโค่นกล้วยออก บางแปลงก็ปลูกมะยงชิดในร่มเงาของไม้ผล ส่วนที่อยู่กลางแจต้งจะใช้ซาปลนคลุมพรางแสง ทุกต้นจะมีระบบน้ำหยดและระบบน้ำแบบสปริงเกอร์ การเตรียมหลุมปลูกในทางปฏิบัติจะขุดหลุมแบบวงกลม ให้มีรัศมี 50 เซนติเมตร ลึก 50 เซนติเมตร ก็เพียงพอ ก้นหลุมผสมด้วยดินหมักหรือปึ๋ยคอกพอประมาณ ปลูกมะยงชิดตื้นลักษณธกระทะคว่ำ ปักไม้ค้ำยันกันลม พร้อมกับให้น้ำเพื่อให้ต้นนั้นชื้นอยู่เสมอ เนื่องจากมะยงชิดเป็นพืขที่ต้องการน้ำมาก แต่ไม่ชอบน้ำท่วมแฉะหรือขัง ในขณะที่ต้นยังเล็ก