Monday, May 13, 2013

วิธีการขยายพันธุ์มะปราง



วิธีการขยายพันธุ์มะปราง

            ได้ทำการขยายพันธุ์ 2 วิธี คือ การเสียบยอดและการทาบกิ่ง

การขยายพันธุ์ โดยการเสียบยอด
             การเสียบยอดเป็นวิธีการขยายพันธุ์ มะยงชิด - มะปรางหวานใหญ่ ที่ดีวิธีหนึ่ง ที่จะไม่เกิดการกลายพันธุ์ [Mutation]  ข้อเสีย ก็คือ การเจริญเติบโตในระยะแรกจะช้ามาก ต้องใช้เวลา 2-3 ปีจึงจะโตสูงกว่า 80 ซ.ม. พอที่จะนำไปขายได้ แต่เมื่อนำไปปลูกลงดินแล้ว จะโตเร็วมาก ใช้เวลาเพียง 1 -2 ปี ก็สามารถผลิดอกออกผลได้

การขยายพันธุ์ โดยการทาบกิ่ง
             วิธีนี้เป็นที่นิยมกันมาก มี ข้อดี ดังนี้

            1. สามารถทาบกิ่งได้หลายขนาด หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นกิ่งแขนง กิ่งเล็ก กิ่งใหญ่ กิ่งกระโดง รวมไปถึงกิ่งสาขา (Brance)
            2. ตั้งราคาขายได้หลายราคา จากขนาดเล็กไปหาใหญ่ ตามใจของผู้ซื้อ
            3. ให้ผลผลิต (ออกผล) ได้รวดเร็ว ตามขนาดและความสมบูรณ์ของกิ่ง
            4. สามารถเพิ่มมูลค่า [Added value] ได้ง่ายโดยการเสริมราก
            ข้อเสีย
            1. หากตัดกิ่งทาบที่แผลยังติดไม่สนิท จะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย เมื่อโดนลมพัดแผลจะฉีกทำให้กิ่งตายได้ง่าย
            2. การเลือกต้นตอกับกิ่งพันธุ์ดี ต้องให้ได้ขนาดใกล้เคียงหรือสมดุลกัน บางคนใช้กิ่งตอเล็กมากเกินไปเมื่อเทียบกับกิ่งพันธุ์ดีที่ใหญ่มาก เมื่อนำไปปลูกกิ่งตออาจหักได้ง่าย เพราะรับน้ำหนักต้นใหญ่ไม่ไหว อาจจะตายได้ง่าย หรือไม่ตายก็โตช้า
    3. กิ่งพันธุ์ดีมีสภาพไม่เหมาะสม เช่น กิ่งเป็นโรค กิ่งแคระแกร็น กิ่งแก่เกินไป เมื่อนำไปปลูก การพัฒนาลำต้นจะไม่ดี อาจตายง่ายหรือโตช้า
    4. บางคนดึงต้นตอออกจากถุงเพาะชำ ตัดรากแก้วทิ้ง อัดขุยมะพร้าว แล้วนำไปทาบ เมื่อนำไปปลูก ต้นจะเจริญเติบโตช้า หรืออาจตายได้ง่าย


 นวัตกรรม[Innovation] การทาบกิ่งมะปราง

จากการพัฒนา (Development) มะปราง ทำให้ได้ นวัตกรรมการทาบกิ่งโดยใช้กรรมวิธี ดังต่อไปนี้
1.   เลือกต้นตอ ที่สมบูรณ์และกิ่งพันธุ์ดี ให้มีขนาดและอายุ ไล่เลี่ยกัน
2.   กำหนดตำแหน่งของกิ่งพันธุ์ดีที่จะทาบให้ห่างจากจุดที่จะควั่นประมาณ 1 คืบ
3.   ยกต้นตอที่เตรียมไว้ขึ้นทาบ ก้นถุงจะอยู่ใกล้เคียงกับจุด ที่จะควั่นและตัด
4.   มัดถุงของต้นตอกับกิ่งพันธุ์ดีให้แน่น โยงเชือกปอกับโครงสร้างที่แข็งแรง
5.   หลังทาบประมาณ 7 วันหากฝนไม่ตก ให้รดน้ำจนตุ้มของต้นตอเปียกโชก
6.   หลังทาบประมาณ 75-90 วันให้ควั่นกิ่งพันธุ์ดี ตรงจุดที่ได้กำหนดไว้แล้ว
7.  หลังควั่นประมาน 10-30 วันให้ทยอยตัดกิ่งพันธุ์ดี ลำดับตามขนาดของกิ่ง
8.   กรีดตรงรอยตัด 2-3 ทาง ยาวประมาณ 1 นิ้ว แช่ในน้ำยาเร่งราก [Plant Stimulant] ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที จึงนำไปเพาะชำ
9.   นำไปลงถุงหรือกระถาง กระทุ้งดินให้แน่น ส่งเข้าเรือนเพาะชำ
 
จากกรรมวิธี  9 ข้อข้างต้น กิ่งพันธุ์ที่ถูกเพาะชำจะมี 2 ขา คือจากต้นตอและก้านของกิ่งประธาน หรือกิ่งพันธุ์ดี ที่เราตัดให้ยาวประมาณ 1 คืบ กิ่งนี้จะช่วยยึดลำต้นและเมื่อรากฝอยงอกออกมา รากจะช่วยตรึงลำต้นให้แข็งแรงและช่วยหาอาหาร ทำให้ก้านของกิ่งประธานเติบโต ควบคู่ไปกับกิ่งตอ ทำให้ได้กิ่งพันธุ์ดีมี 2 ขารากที่แข็งแรงและสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง วิธีนี้ ตั้งชื่อเรียกขานว่า การทาบกิ่งแบบ 1ตอ  2ขาราก (ดูในภาพ)
หากต้องการเสริมตอเข้าไปอีก 1 ต้นก็ทำได้ตามข้อ 3 โดยให้ตอใหม่และแผลอยู่ตรงกันข้ามกับตอแรก เรียกขานการทาบกิ่งวิธีนี้ว่าแบบ 2ตอ 3ขาราก (ดูในภาพ) ขอแนะนำว่า วิธีนี้เป็นการเสริมราก ที่ประหยัดแต่มีประสิทธิผลสูงที่สุด [Optimization]
หากต้องการเสริมเพิ่มเป็นแบบ 3ตอ 4ขาราก หรือเท่าไหร่ก็ย่อมสามารถทำได้ แต่อาจต้องเปลี่ยนตำแหน่งของจุดทาบไปตามความเหมาะสม

การจำแนกและคัดเลือกสายพันธุ์มะปราง



การจำแนกและคัดเลือกสายพันธุ์

     เมื่อรวบรวมต้นแม่พันธุ์ดีได้ประมาณ 56 สายพันธุ์มาปลูกรวมกัน เมื่อเริ่มออกผล ทางศูนย์ฯ ก็เริ่มทำการคัดเลือก โดยยึดคุณสมบัติตามหลักวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นหลักคือ คุณสมบัติทางกายภาพ [ Physical Property ] คุณสมบัติทางเคมี [ Chemical Property ] และคุณสมบัติทางชีววิทยา [ Biological Property ]

       ทางด้านกายภาพ ทางศูนย์ฯ พิจารณาตามคุณสมบัติดังต่อไปนี้

     1. ผล ต้องมีขนาดใหญ่ที่สุด วัดโดยการชั่งน้ำหนัก [ Weighting ]

     2. รูปพรรณสัณฐาน [ Shape and Appearance ] ที่ยอมรับได้คือ ทรงกลม ทรงรูปไข่ ทรงหัวเรียวก้นใหญ่ (คล้ายมะดัน) ทรงหัวเรียวก้นงอน ส่วนพันธุ์ที่มีรูปทรงหัวโตก้นเรียวแหลมนั้น ทางศูนย์ฯ ไม่นำเสนอ เพราะรูปร่างไม่สวยงาม

     3. ขนาดของเมล็ดต้องไม่ใหญ่ หรือที่เรียกกันว่าเมล็ดลีบ แต่ต้องติดตามผลอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี

     4. เปลือกของผลต้องหนาไม่เปราะบางและสีของผิวต้องสดใสไม่เหลืองซีด

     5. เนื้อแน่น ไม่เละ เก็บไว้ได้นาน

     6. เป็นพันธุ์เบา คือออกลูก ติดผลง่าย ให้ผลต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 3 ปี

       ทางด้านเคมี พิจารณาจากรสชาติ

     1. ถ้าเป็นมะยงชิด ต้องมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดๆ ถ้าเปรี้ยวมากเรียกว่า มะยงห่าง ถ้าเปรี้ยวอย่างเดียวไม่มีรสหวานเลย เรียกว่า กาวาง

     2. ถ้าเป็นมะปรางหวานพันธุ์ดี จะต้องมีความหวานมาก หรือ หวานฉ่ำ เมื่อรับประทานแล้วไม่รู้สึกคันหรือระคายคอเหมือนมะปรางพื้นบ้าน

     3. ความหวานของทั้งมะยงชิดและมะปรางหวานใหญ่ พันธุ์ดี ไม่ควรต่ำกว่า 17๐ BRIX ( อยู่ที่สายพันธุ์และการดูแลรักษา )

       ทางศูนย์ฯ ได้คัดเลือกมะยงชิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คือ "พันธุ์เพชรกลางดง , ทูลเกล้า และบางขุนนนท์"

       ส่วนมะปรางหวานใหญ่นั้น ทางศูนย์ฯ สามารถคัดเลือกพันธุ์ที่มีคุณสมบัติดีเด่นครบถ้วนไว้ได้ 6 สายพันธุ์ คือ

     1. พันธุ์เพชรคลองลาน (มะปรางหวานไข่ห่าน)

     2. พันธุ์เพชรหวานกลม

     3. พันธุ์เพชรหวานยาว

     4. พันธุ์เพชรนพเก้า

     5. พันธุ์เพชรเหรียญทอง-1

     6. พันธุ์เพชรเหรียญทอง-2

(ทั้ง 6 สายพันธุ์ ลูกจะโตเท่ามะยงชิด และโตกว่าไข่เป็ด)

       การจำแนกสายพันธุ์ โดยอาศัยคุณสมบัติทางกายภาพ และทางเคมี ที่กล่าวไว้ข้างต้นไม่สามารถแยกแยะรูปแบบทางพันธุกรรมที่จำเพาะ สำหรับจำแนกเอกลักษณ์พันธุ์ของแต่ละพันธุ์ได้

       ดังนั้นทางศูนย์ฯ จึงได้คัดเลือกมะยงชิดพันธุ์ดี 3 สายพันธุ์ และมะปรางหวานใหญ่ พันธุ์ดี 6 สายพันธุ์ รวม 9 สายพันธุ์ ที่ได้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติทางกายภาพ และเคมีมาแล้วส่งเข้าวิเคราะห์ ดี เอ็น เอ เพื่อหาความเด่นชัดทางด้านพันธุกรรม ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 เสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550  รวมเวลาวิเคราะห์รวบรวมเอกสาร ปรับปรุงแก้ไข ประมาณ 8 เดือนเต็ม

       ผลการตรวจ ดี เอ็น เอ ได้ผลสรุปชัดเจนว่า แต่ละสายพันธุ์มีความแตกต่างทางด้านพันธุกรรมอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะมะยงชิด พันธุ์เพชรกลางดง แตกต่างจาก พันธุ์ทูลเกล้า และพันธุ์บางขุนนนท์ อย่างชัดเจน ส่วนมะปรางหวานใหญ่พันธุ์ดี 6 สายพันธุ์ ก็มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนเช่นกัน จะมีความใกล้ชิดกันบ้างก็คือ พันธุ์เพชรเหรียญทอง-1 กับพันธุ์เพชรนพเก้า แต่ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน

       สรุปผลการหา ดี เอ็น เอ เพื่อหาความแตกต่างทางด้านพันธุกรรม เมื่อเปรียบเทียบกับการวินิจฉัยโดยอาศัยคุณสมบัติทางกายภาพและเคมี ซึ่งทางศูนย์ฯ ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานนั้น มีผลสอดคล้องกัน นั่นคือ มะยงชิด-มะปรางหวานใหญ่พันธุ์ดี ที่ศูนย์ฯ ได้นำออกเผยแพร่แก่สาธารณชน ทั้ง 9 สายพันธุ์ มีความโดดเด่นทางด้านพันธุกรรมไม่ซ้ำกัน จึงเป็นโอกาสทองของผู้ที่สนใจจะปลูกในเชิงการค้าสามารถระบุและเลือกสายพันธุ์ที่ดีเด่น ชัดเจนได้จากศูนย์ โดยไม่มีความเสี่ยงใดๆทั้งสิ้น

กลุ่มยาแก้ไข้ ลดความร้อน มะปราง

กลุ่มยาแก้ไข้ ลดความร้อน

มะปราง

 

ชื่อวิทยาศาสตร์ :   Bouea macrophylla  Griffith

ชื่อสามัญ :   Marian Plum , Plum Mango

วงศ์ :   Anacardiaceae

ชื่ออื่น :  ปราง (ภาคใต้)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ต้น มีทรงต้นค่อนข้างแหลม มีกิ่งก้านสาขาค่อนข้างทึบต้นโต มีขนาดสูง 15-30 เซนติเมตร มีรากแก้วแข็งแรง ใบ มะปรางเป็นไม้ผลที่มีใบมาก ใบเรียว ขนาดใบโดยเฉลี่ยกว้าง 3.5 เซนติเมตร ยาว 14 เซนติเมตร ปีหนึ่งมะปรางจะแตกใบอ่อน 1-3 ครั้ง ดอก มะปรางจะมีดอกเป็นช่อ เกิดบริเวณปลายกิ่งแขนง ช่อดอกยาว 8-15 เซนติเมตร เป็นดอกสมบูรณ์เพศ (เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน) ดอกบานจะมีสีเหลือง ในไทยออกดอกช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ผล มีลักษณะทรงกลมรูปไข่และกลม ปลายเรียวแหลม มะปรางช่อหนึ่งมีผล 1-15 ผล ผลดิบมีสีเขียวอ่อน-เขียวเข้มตามอายุของผล ผลสุกมีสีเหลืองหรือเหลืองอมส้ม เปลือกผลนิ่ม เนื้อสีเหลืองแดงส้มออกแดงแล้วแต่ชนิดพันธุ์ รสชาติหวาน-อมหวานอมเปรี้ยว หรือเปรี้ยว-เปรี้ยวจัด เมล็ด มะปรางผลหนึ่งจะมี 1 เมล็ด ส่วนผิวของกะลาเมล็ดมีลักษณะเป็นเส้นใย เนื้อของเมล็ดทั้งสีขาวและสีชมพูอมม่วง รสขมฝาดและขม ลักษณะเมล็ดคล้ายเมล็ดมะม่วง หนึ่งเมล็ดเพาะกล้าได้ 1 ต้น
ส่วนที่ใช้ : ราก ใบ น้ำจากต้น

สรรพคุณ :

    ราก -  แก้ไข้กลับ  ถอนพิษสำแดง

    ใบ - ยาพอกแก้ปวดศีรษะ

    น้ำจากต้น - ยาอมกลั้วคอ